เราทำธุรกิจ

ธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับอุตสาหกรรม
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับ อุตสาหกรรม

   ธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรม (iCNG) เป็นการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติตรงสู่โรงงานอุตสาหกรรม โดยการให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติอัดผ่านทางรถขนส่งเปรียบเสมือนลูกค้าได้ใช้งานก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อ ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่นอกแนวท่อก๊าซธรรมชาติ และลูกค้าที่อยู่บนแนวท่อที่ต้องการเชื้อเพลิงสำรองในกรณีฉุกเฉิน (Energy Security) กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างรอการดำเนินการเดินแนวท่อก๊าซ และรวมถึงกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นรักษาสิ่งแวดล้อม ธุรกิจดังกล่าวเริ่มดำเนินงานแห่งแรกที่จังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 เป็นต้นมา ซึ่งในปี 2559 ธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับอุตสาหกรรมเริ่มเป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้มีลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ ในปี 2562 ธุรกิจ iCNG เป็นธุรกิจที่ทำอัตราการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการดำเนินธุรกิจ จากปัจจัยความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ๆ และลูกค้าเดิมที่เพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ iCNG เป็นที่รู้จักและเชื่อมั่นในวงการอุตสาหกรรมมากขึ้น

   จากจุดเริ่มต้นที่ บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด มหาชน ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงและราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น บริษัทฯได้ริเริ่มแนวคิดและพัฒนานวัตกรรมซึ่งนำมาซึ่งการนำก๊าซธรรมชาติมา ใช้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกแนวท่อก๊าซ โดย ณ ที่นี้ คิดเป็น 92 % ของจำนวนโรงงานรวมในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ความต้องการในการใช้ก๊าซธรรมชาติในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมมีสูงมากแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากอุปสรรคเรื่องของที่ตั้งโรงงานที่ ไม่สามารถเข้าถึงแนวท่อก๊าซธรรมชาติ โดยมีจุดประสงค์หลักคือ เพื่อลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในขั้นตอนการผลิต และแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการ ใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่น ที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อพื้นที่ข้างเคียง รวมไปถึงปัญหาเรื่องการลำเลียงอันเนื่องมาจากยังไม่มีนวัตกรรมใดที่สามารถลดแรงดันจากแรงดันสูงมากไปยังแรงดันที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสและได้ทำการพัฒนาระบบลดแรงดันสูงสำหรับก๊าซธรรมชาติ (Pressure Reducing System : PRS)เพื่อลดความดันที่สูงมากจากการลำเลียงโดยรถขนส่งให้เหลือความดันที่โรงงานสามารถนำไปใช้ได้ อนึ่ง ข้อได้เปรียบหลักของการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ดังที่กล่าวข้างต้นคือ

   ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ปล่อยมลภาวะน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ ถ่านหิน น้ำมันเตา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas :LPG) และ เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biomass) อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงกว่าเนื่องจากก๊าซธรรมชาติมีน้ำหนักเบากว่าอากาศ หากเกิดการรั่วไหลจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทันที โดยไม่สะสมอยู่ในระดับพื้นดินเหมือนเชื้อเพลิงเหลวอย่าง LPG ซึ่งหากผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติ จะเกิดประโยชน์กับผู้ใช้ในหลายด้าน โดยมีผลประโยชน์หลักเป็นการลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงตั้งแต่หลักแสนถึงหลายล้านบาทต่อเดือน โดยระยะเวลาคืนทุนของการเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจะอยู่ในช่วง 10-14 เดือนหากเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงหลักเดิมที่ใช้จาก LPG มาใช้ ก๊าซธรรมชาติและหากมองถึงทางด้านความผันผวนของราคานั้น ก๊าซธรรมชาติมีปัจจัยที่มีผลกระทบน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความที่โครงสร้างราคาของ น้ำมันเตา และ LPG ผูกกับราคาของน้ำมันในตลาดโลก ที่นับวันยิ่งมีราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามกลไกราคาน้ำมันของตลาดโลก ส่งผลให้ความเสี่ยงในด้านต้นทุนค่าเชื้อเพลิงสูงเมื่อเทียบกับก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ถูกนำมาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ จึงเป็นการลดอัตราส่วนของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและส่งผลให้กลไกโครงสร้างราคาของก๊าซธรรมชาติมีความมั่นคงมากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ซึ่งในอนาคตก๊าซธรรมชาติถูกกำหนดให้มีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจเชื้อเพลิงอุตสาหกรรม เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันเตาและ LPG ทั้งนี้เนื่องจากราคาของน้ำมันเตาและ LPG จะสูงขึ้นเรื่อยๆโดยมิสามารถคาดเดาได้ เมื่อเทียบกับความเสถียรของราคาก๊าซธรรมชาติแล้ว ก๊าซธรรมชาติถือเป็นทรัพยากรที่มีศักยภาพทางด้านราคา ซึ่งหากคิดมูลค่าและผลประโยชน์โดยรวมที่ตามมาด้วยแล้ว ยังมีราคาถูกกว่า ราคาของน้ำมันเตา และ LPG อยู่มากนัก

ติดต่อเรา

เราเป็นบริษัทชั้นนำและเป็นผู้นำทางธุรกิจ
ด้านพลังงานทางเลือก ที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้น

ติดต่อเรา