บมจ. SCN ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ พลังงานทดแทน และขนส่งแบบครบวงจร โชว์ผลการดำเนินงานรอบปี 2566 พื้นฐานสุดแกร่ง รายได้โต 34% YoY กำไรสุทธิแบบออร์แกนิค พุ่ง 28 % YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ประกาศจ่ายปันผล 0.0124 บาท/หุ้น ขึ้น XD 7 พ.ค. จ่าย 23 พ.ค.นี้
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ใน Q4/2566 อยู่ที่ 1,878 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% หรือเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยสามารถทำกำไรเติบโตได้สุทธิ 167 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งนับเป็นกำไรสุทธิแบบออร์แกนิค อยู่ที่ 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 28% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไม่รวมกำไร one - time ที่เกิดจากขายเงินลงทุนรวมถึงการตัดจำหน่ายโครงการที่เป็น Non-perform ของบริษัท ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth หรือการเติบโตจากความแข็งแกร่งขององค์กรจริงๆ ทั้งนี้ปัจจัยการเติบโตเกิดจาก 1) การเติบโตของผลการดำเนินงานในหน่วยธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งได้อานิสงส์บวกจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติและราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น 2) บริษัทเริ่มรับรู้รายได้สัญญาจ้างขนส่งจากการชนะประมูลงานขนส่ง ปตท. ตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป 3) รับรู้รายได้จากงานจ้างเหมาก่อสร้างอาทิ เช่น งานรับเหมาก่อสร้างปั๊มบางจาก และ 4) ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน SAP ด้วยผลการดำเนินงานก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเตรียมความพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 2567
“ภาพรวมความสำเร็จในปี 2566 บริษัทฯ ได้ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจขนส่งก๊าซธรรมชาติ โดยคว้าชัยชนะประมูลงานขนส่ง ปตท. ทำให้ขึ้นแท่นผู้ขนส่งก๊าซธรรมชาติ อันดับ 1 ของประเทศ โดยมีปริมาณขนส่งรวมอยู่ที่ 1 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ทั้งใน 6 พื้นที่ ได้แก่ ลาดหลุมแก้ว ลำลูกกา สามโคก (2 เขต) เชียงรากน้อย กิ่งแก้ว ซึ่งได้เริ่มดำเนินงานและรับรู้รายได้จากสัญญาใหม่นี้ครบทุกพื้นที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ในส่วนของ ธุรกิจ iCNG มีรายได้โตต่อเนื่อง จากปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้พลิกกลับมามีกำไรเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ เช่นเดียวกันในส่วนของบริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) ที่พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2567 ก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยมีการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในปีที่ผ่านมา เพิ่มอีก 6 โครงการ ทำให้ปัจจุบัน COD ไปแล้วกว่า 29 โครงการ ซึ่งรวมกำลังผลิตในมือตอนนี้กว่า 23 เมกะวัตต์ ส่งผลให้มีกำไรเติบโตกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ยังเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญเช่นกัน โดยปีที่แล้ว บริษัทฯ ได้ชนะการประมูลงานก่อสร้างและปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ รวมถึงรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งเป็นธุรกิจในกลุ่มที่ไม่เกี่ยวกับก๊าซ (Non-Gas) โดยมีมูลค่าสัญญารวมกว่า 222 ล้านบาท และบริษัทฯ เล็งเห็นถึงการเติบโตของการงาน EPC กลุ่ม Non-Gas นี้ในอนาคตเป็นอย่างมาก” ดร.ฤทธี กล่าว
ดร.ฤทธี กล่าวเพิ่มว่า นับว่าในช่วงตั้งแต่โควิดที่ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบัน บริษัทฯ มีการเทิร์นอะราวด์ที่ชัดเจน และเติบโตขึ้นปีละเกือบเท่าตัว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มีการเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยภาพรวมการดำเนินงานของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่ม บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโต โดยมีรายได้อยู่ที่ 990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ในส่วนธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศ มีรายได้อยู่ที่ 156 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 173 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 233% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) นอกจากนี้สำหรับธุรกิจขนส่งและอื่นๆ มีรายได้อยู่ที่ 189 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)
อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการแบ่งปันความสำเร็จให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2567 ได้มีการอนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2566 ในอัตรา 0.0124 บาท/หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 15 ล้านบาท โดยจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 8 พ.ค. 2567 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 7 พ.ค.2567 พร้อมกำหนดเตรียมจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พ.ค. 2567
สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรุกธุรกิจ EV Charger โซลาร์โฮม โดยก่อนหน้านี้ที่ได้มีการศึกษาการขยายธุรกิจพลังงานเพิ่มเติม โดยวางงบลงทุน 20 ล้านบาท ทำโครงการ “Private PPA” อีวี ชาร์จเจอร์ นำร่องพื้นที่หอพัก คอนโดมิเนียม และโรงแรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้าเจรจา โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้มากในอนาคต และให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ราว 10% นอกจากนี้ยังมีการเข้าไปศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติรูปแบบใหม่ในอนาคต คือการผลิตไฮโดรเจนหรือบลูไฮโดรเจน เพื่อเป็นเชื้อเพลิงและเป็นก๊าซพิเศษให้แก่บางอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ SCN ได้ในอนาคต ดร. ฤทธี กล่าวทิ้งท้าย